nong2

หนองเล็งทราย อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา

หนองเล็งทราย อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของอำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา โดยใช้ถนนทางหลวงหมายเลข 1 มุ่งหน้าสู่ทิศเหนือ พะเยา-เชียงราย มาจนถึงแยกศรีบุญเรือง เลี้ยวขวาเข้าถนนพหลโยธินสายในไปประมาณ 1 กิโลเมตร ถึงวัดโพธารามทางซ้ายมือ ให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนข้างวัดไปจนสุดทางจะพบกับหนองเล็งทราย หรือถ้ามาจากพะเยาอาจจะเข้าทางถนนพพหลโยธินสายในของอำเภอแม่ใจ จะเห็นคลองชลประทานให้เลี้ยวขวาตรงไปประมาณ 1 กิโลเมตรจะเห็นป้ายบอกทางไปหนองเล็งทรายให้เลี้ยวซ้ายไปประมาณ 100 เมตรก็จะพบหนองเล็งทราย หนองเล็งทราย เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ โดยหนองแห่งนี้เนื้อที่ประมาณ 5,500 ไร่ ครอบคลุมหลายตำบล ได้แก่ ตำบลป่าแฝก ตำบลศรีถ้อย ตำบลแม่ใจ และตำบลบ้านเหล่า
        นอกจากนี้หนองเล็งทรายยังมีประโยชน์แก่ชาวบ้านให้ได้ใช้น้ำในการเพาะปลูกทำ ประมงและเลี้ยงสัตว์ และใช้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ บริเวณหนองเล็งทรายยังมีร้านขายอาหารขึ้นชื่อ และมีเมนูปลา กุ้งเต้น ที่เป็นผลผลิตของหนองเล็งรายที่น่าลิ้มรสให้กับผู้ที่มาแวะมาชมความงามของหนองเล็งทราย

ตำนานหนองเล็งทราย

     วันนี้ขอนำเสนอเรื่องเก่าเบา ๆ ใน "ตำนานหนองเล็งทราย" ซึ่งเมื่ออ่านแล้วได้ข้อคิดหลายประการ ตั้งแต่เรื่องพฤติกรรม เรื่องความเอื้ออาทร เรื่องความมีน้ำใจ เรื่องการเป็นอยู่ ในที่สุดแล้วเรื่องเหล่านี้แม้จะดีงามแค่ไหน ก็สู้บุญกุศลไม่ได้อยู่ดี

     หนองเล็งทราย เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ในอำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา ที่ไหลลงมาสมทบกับกว๊านพะเยา ซึ่งไหลลงสู่น้ำอิงและผ่านหลายอำเภอของจังหวัดพะเยา-จังหวัดเชียงราย จนไปสิ้นสุดที่แม่น้ำโขง

     มีเรื่องเล่าว่า.....

     ในอดีตกาลนานมาแล้ว (ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่) บริเวณหนองเล็งทรายแห่งนี้ มีเมือง ๆ หนึ่งซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ เจริญรุ่งเรือง ผู้คนคับคั่ง ภายใต้การบริหารบ้านเมืองที่ดี มีความอบอุ่น เอื้ออาทรซึ่งกันและกันระหว่างเจ้าผู้ปกครองและประชาชนผู้อยู่อาศัย

     วิถีชีวิตของชาวเมืองมั่งคั่ง มีความสะดวกสบาย ข้าวปลาอุดมสมบูรณ์ อยู่ด้วยกันอย่างผาสุข ใครใคร่ค้าก็สามารถทำการค้าขายได้ตามใจนึก  ใครใคร่หาของป่า ใครใคร่หาสัตว์น้ำ ใครใคร่ทำไร่ไถ่นา เจ้าผู้ปกครองก็แบ่งปันให้ทำมาหากิน อยู่กันแบบพี่แบบน้องถ้อยทีถ้อยอาศัย โดยแต่ละคนเมื่อหาข้าวปลาอาหารมาได้ก็แบ่งกันกินตามประสาญาติมิตร

     อยู่มาวันหนึ่ง ได้มีชาวบ้านไปหาปลาบริเวณหนองน้ำแห่งหนึ่งและได้เห็นปลาไหลเผือกยักษ์ตัวขนาดเท่าลำตาลตัวหนึ่ง (วิญญู กาวินคำ-ขนาดเท่าต้นหมาก)เข้า ด้วยความดีใจ จึงไปบอกเพื่อนบ้านมาช่วยกันดักจับ ขณะที่จับได้แล้วนั้น ก็นึกถึงคุณงามความดีของท่านเจ้าเมือง จึงพากันนำไปถวายท่านเจ้าเมือง พอท่านเจ้าเมืองเห็นก็คิดว่าตัวเราและเหล่าบริวารจะกินแต่ผู้เดียวก็ย่อมแสดงถึงความคับแคบแห่งจิต อย่างไรเสียต้องให้ชาวเมืองได้มีส่วนร่วมด้วย  จึงสั่งให้เสนาอำมาตย์ป่าวประกาศให้คนทั้งหลายได้ทราบถึงพระราชอัธยาศัยในความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ พร้อมกับรับส่วนแบ่งเนื้อปลาไหลเผือกไปกินกันทั่วทุกคน

     นัยว่าชาวเมืองเมื่อได้รับส่วนแบ่งพร้อมนำไปประกอบอาหารเมื้อเย็นกินกันทั่วทุกครอบครัวเรียกได้ว่ากินกันทั้งเมืองก็ว่าได้ พร้อมกันนี้ยังได้มีการเฉลิมฉลองอย่างเมามัน สนุกสนานจนอ่อนล้าและหลับไปในรัตติกาลนั้นเอง

     ด้วยความอาเพศเป็นเหตุอะไร ไม่ทราบหรือเป็นเพราะเหตุอัศจรรย์ ในขณะที่ชาวเมืองพากันหลับใหลในปฐมยามนั้นเอง ได้เกิดพายุฝนตกกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ฟ้าคำรามเสียงดังสนั่น

     แต่ชาวเมืองที่ได้ลิ้มรสของเนื้อปลาไหลในตอนเย็นนั้น กลับคิดว่าฝนตกฟ้าร้องตามธรรมชาติ เป็นธรรมดา ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ก็พากันหลับใหลเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้ปฐมยามผ่านไปอย่างไร ชาวเมืองก็ไม่รู้สึกเกรงกลัวต่อสถานการณ์ที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่นั้น

     พอย่างเข้าในมัชฌิมยาม ก็เกิดพายุแผ่นดินไหวฟ้าคำรามหนักยิ่งขึ้นไปอีก คราวนี้ชาวบ้านที่อยู่นอกเมืองที่เข้าไปในเมืองตอนเย็นและไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกินอาหารเมนูปลาไหลใส่สลัด ก็พากันกลับได้สติตกใจตื่นกลัว ได้พากันแตกตื่นอพยพทั้งลูกเด็กเล็กแดง หนีออกนอกเมืองไปพักกับญาตินอกประตูเมืองนั้น มีเพียงชาวเมืองที่ได้ลิ้มรสปลาไหลเท่านั้น ที่ยังมัวเมาและหลับใหลลืมตื่นต่อไปอย่างไม่สนใจต่อภยันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น

     ณ กระท่อมแม่หม้ายในเมือง กลับมีชายสูงวัยลึกลับนุ่งขาวห่มขาว เดินเข้ามาเรียกแม่หมายให้ออกมา แล้วกล่าวกำชับว่าในคำคืนนี้ จะมีอันตรายใหญ่หลวงต่อชาตาและชีวิตของชาวเมืองทั้งหมด ซึ่งกรรมครั้งนี้นางไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ขอให้นางอยู่แต่ภายในบ้านอย่าได้ออกมาจนกว่าจะสว่างเท่านั้น ว่าแล้วชายลึกลับก็เดินจากไปหายไปในความมืดมิดแห่งรัตติกาลนั่นเอง ปล่อยให้แม่หมายยืนงงอยู่แต่ผู้เดียว

     พอถึงปัจฉิมยาม ก็เกิดพายุฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่งอีกครั้งหนึ่ง ยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ฟ้าคำรามเสียงสนั่นจนแสบแก้วหู ฝ่ายแม่หม้ายได้ยินเสียงและคาดเดาเหตุการณ์ต่าง ๆ ออก แม้จะรู้สึกถึงความน่ากลัวของเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น แต่เพราะเชื่อคำของชีปะขาว จึงไม่กล้าแม้แต่จะย่างกายลุกออกจากเตียงนอน หัวใจของนางนึกถึงแต่พ่อแก้วแม่แก้ว คุณของพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ และบุญกุศลที่นางได้เฝ้าบำเพ็ญมาทั้งชีวิต

     ลำดับนั้น แผ่นดินกลับพลิกกลับไปมาอย่างรุนแรง บริเวณเมืองนั่นก็ยุบตัวลงพร้อมกับการล่มสลายแห่งเมืองโบราณในอดีต ผู้คนล้มตาย ทรัพย์สินบ้านเรือน และสรรพสิ่งจมดิ่งลงสู่ใต้แผ่นดินในชั่วพริบตา จนเกิดโศกนาฏกรรมที่สลดหดหู่เป็นอย่างยิ่ง (เฉพาะเหตุการณ์นี้ คล้ายโศกนาฏกรรมของเมืองโยนกนคร อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เทียบดูได้จาก "ตำนานเชียงแสน"  ปริวรรตโดยพระอุบาลีคุณูปมาจารย์)

     รุ่งขึ้น ขุนพันนาและชาวบ้านรอบนอกต่างก็พากันออกมาดูว่า เมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้น เมื่อเห็นเมืองทั้งเมืองหายไปอย่างนั้น ก็พากันพูดถึงสาเหตุและโจษขานกันไปต่าง ๆ นานา ว่าเป็นเพราะเหตุอันใดที่ทำให้บ้านเมืองถล่ม บ้างก็ว่าพญานาคพิโรธที่ไปทำลายญาติมิตรของเขา บ้างก็ว่าเป็นกรรมเก่าที่ชาวเมืองได้กระทำร่วมกันมาในอดีตชาติ  บ้างก็ว่าเป็นเพราะเจ้าเมืองและผู้นำท้องถิ่นอาจประพฤติผิดศีลธรรม ฯลฯ

     จนเสียงคุยกันดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ต่างคนก็ต่างแสดงความคิดเห็นกันไปต่าง ๆ นานา ถูกบ้างผิดบ้างตามประสาผู้วิพากษ์วิจารณ์ (แต่ยังไม่ได้วิจัย)

     ที่น่าแปลกใจคือ กลางหนองน้ำนั้น มีกระท่อมหลังเล็ก ๆ อยู่หลังหนึ่งไม่ล่มสลาย ไม่หายไปไหน มีเกาะกลางน้ำโผล่มารองรับนับว่าอัศจรรย์ยิ่ง ชาวบ้านต่างพากันเข้าไปสอบถามหญิงเจ้าของกระท่อมนั่น? ร้อยพันคำถามจากชาวบ้าน จนหญิงหม้ายตอบแทบไม่ทัน

     สรุปได้ใจความว่า เป็นหญิงหม้ายที่เธอถือศีลบำเพ็ญบุญมาตลอดชีวิตและเมื่อวานนี้เธอไม่ได้กินเนื้อปลาไหลเผือกกับชาวเมือง ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เธอรอชีวิตมาได้ โดยไม่ได้รับอันตรายใดใด

     เกาะกลางน้ำนั้น ได้ชื่อว่า "ดอนแม่หม้าย" ส่วนบริเวณที่ล่มลงของเมืองโบราณนั้นได้ชื่อว่า "เมืองหนองหล่ม"  ต่อมาได้ชื่อใหม่ว่า "หนองเล็งทราย" ดังอธิบายมาแล้ว

     นี้เป็นตำนานที่เกิดขึ้นในอดีต ที่สอนให้คนทั้งหลายได้ตระหนักถึงบทเรียนที่ผ่านมา แม้บ้านเมืองจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไรก็ตาม จะมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกันและกันมากมายแค่ไหนก็ตาม ในที่สุดศีลธรรมเป็นสิ่งที่เลิศล้ำที่สุด ประดุจคำของหลวงปู่พุทธทาสที่กล่าวไว้ว่า "ถ้าศีลธรรมไม่กลับมาโลกาจะพินาศ"

นี้เป็นตำนานที่เกิดขึ้นในอดีต ที่สอนให้คนทั้งหลายได้ตระหนักถึงบทเรียนที่ผ่านมา แม้บ้านเมืองจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไรก็ตาม จะมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกันและกันมากมายแค่ไหนก็ตาม ในที่สุดศีลธรรมเป็นสิ่งที่เลิศล้ำที่สุด ประดุจคำของหลวงปู่พุทธทาสที่กล่าวไว้ว่า "ถ้าศีลธรรมไม่กลับมาโลกาจะพินาศ"..... 

nong1